ผมชอบออกกำลังกาย และไม่ชอบการออกกำลังกายที่ใช้อุปกรณ์ที่เยอะ อย่างการวิ่ง ก็ใช้แค่รองเท้าวิ่ง โดยเป้าหมายหลักของผมอาจจะแตกต่างจากคนอื่นคือ ต้องการลดน้ำหนัก และใส่เสื้อผ้าได้ดูดี ส่วนสุขภาพเป็นของแถม ปีก่อนผมได้เริ่มวิ่งและไปได้สุดอยู่ที่การวิ่งมาราธอน จนไปจบ Full marathon ระยะ 42.195km ได้เกินคาดมากๆ แต่สิ่งที่ตามมา คือน้ำหนักที่ยังไม่ลดลง แต่กลับเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ คิดว่า “อะไรวะ ออกกำลังกายมาเป็นปีไม่ลดสักที” นั่นล่ะครับ จึงเริ่มมองหาอะไรใหม่ๆ ที่น่าจะเข้ากับตัวเอง กับเงื่อนไข ออกได้ทุกที่ อุปกรณ์น้อย
เกริ่นมานาน อาจจะงงว่าหัวข้อบทความ 173×61 คืออะไร จริงๆ แล้วขนาดความกว้าง x ยาว หน่วยเป็นเซนติเมตรของเสื่อชนิดหนึ่ง นั่นคือ “เสื่อโยคะ” ครับ กีฬาที่เคยได้ตั้งแง่เอาไว้ว่าจะลดน้ำหนักได้ยังไง แต่ตอบโจทย์เรื่อง less is more ผมมาก คือ ไม่ใช้อุปกรณ์ที่เยอะเลย แค่มีตัวเรา ก็ทำได้ ทำที่ไหนก็ได้ขอแค่มีพื้น และแรงโน้มถ่วง สิ่งนี้ได้รับการชักชวนจากเพื่อนชาวญี่ปุ่นให้มาลอง ก็เลยลองดู เพราะชอบความท้าทาย
“โยคะ” เป็นสิ่งที่ไม่เคยมีอยู่ในหัวมาก่อน และคิดว่า ถ้าจะทำตามยูทูปก็น่าจะทำได้ ไม่เห็นจำเป็นต้องไปเข้าคลาสเรียน เสียเงินเสียทอง อยู่บ้านทำตามดีกว่าอีก แต่สิ่งที่ผมคิดมันผิดมากๆ ทำไมเหรอ เพราะว่าเราจะไม่รู้ตัวเราเลยว่าเราได้ทำท่าทางนั้นถูกหรือเปล่า ครูในยูทูป ไม่ออกมาจากจอคอมเดินมาจับตัวเรา ดัดขา ดันไหล่ หรือทำท่าให้ดู ว่าท่าที่เรากำลังทำอยู่นั่นน่ะไม่ไม่ถูก ทำให้เจ็บตัว (เมื่อก่อนผมมีปัญหาเจ็บข้อมือตลอด เมื่อทำท่า prank แต่ตอนนี้ไม่เจ็บแล้วเพราะรู้วิธีการใช้กล้ามเนื้อที่ถูกต้อง)
เอาล่ะ ผมได้ให้โอกาสตัวเองในการเล่นโยคะ ตั้งแต่ช่วงปลายสิงหาคมที่ผ่านมา ได้เริ่มเข้าคลาส ที่ต้องเข้ากว่า 3 ครั้งต่อสัปดาห์ ไปตั้งแต่ครูฝึกยังไม่รู้จักชื่อ จนตอนนี้รู้จักชื่อกันดี และรู้จักจุดอ่อนของผมอย่างดีแล้วครับ เรียกว่าใช้ชีวิตอยู่บนพื้นที่ 173×61 อยู่หลายชั่วโมง เอาเป็นว่าถ้าเล่นเดือนละ 12 ชั่วโมง ผ่านมา 4 เดือน ผมอยู่บนพื้นที่เสื่อผืนเล็กๆ เป็นเวลา 48 ชั่วโมงแล้ว ทำได้ไง … เพราะโยคะคือ การฝึกสมาธิ และออกกำลังกายไปพร้อมกัน ทำให้แต่ละท่า ต้องมีการจัดการกับตัวเองให้ได้อย่างดี สิ่งที่พิเศษสำหรับการเข้าคลาสคือ การได้อยู่กับ “ปัจจุบัน” (present) ปล่อยวางทุกอย่างรอบตัว โดยในการเริ่มต้นคลาสทุกครั้ง จะเริ่มโดยการนั่งสมาธิก่อน เพื่อดึงจิตของผู้ฝึกให้มาอยู่กับปัจจุบัน และเพื่อจะบอกว่า “เอาล่ะนะ จากนี้ไป 1 ชั่วโมง ฉันจะละทุกอย่างรอบตัว ฝึกสมาธิไปพร้อมกับลมหายใจเข้าออก ฟังครูฝึกสอน พร้อมปฏิบัติตามเท่าที่ตัวเราจะทำได้”
สิ่งที่ดีมากๆ เลยกับการทำโยคะคือ การได้ปล่อยวางทุกอย่าง ปิดโทรศัพท์ ปิดความคิดรบกวนต่างๆ จากข้างนอกจิตใจที่ฟุ้งซ่าน จดจ่ออยู่กับ “ปัจจุบัน” ในคลาส โฟกัสกล้ามเนื้อที่ต้องใช้ คุมลมหายใจ เช็คท่าทาง อยู่กับปัจจุบันครับ
…หายใจเข้าให้ลึก …. หายใจออกให้ยาว…
สติ เป็นสิ่งที่สำคัญ ได้ฟังคำที่ครูฝึกบอกในท่าอาสนะต่างๆ … ปล่อยใจ (open mind) ละทิ้งทุกอย่าง ซึ่งผมว่ามันดีมากๆ เลยนะ ตลอดเวลา 1 ชั่วโมงในแต่ละคลาส ช่วยให้เรามีสติจดจ่อกับตัวเอง ผ่อนคลายกล้ามเนื้อที่ถูกใช้งานในแต่ละวัน ทำให้แต่ละครั้งที่ได้ไปคลาส จะหลับสบาย หลับสนิทอย่างไม่น่าเชื่อ ไม่ใช่เพราะได้ออกแรงอะไรเยอะหรอกนะครับ แต่เป็นการฝึกทั้งแรงจิต และแรงกายไปในตัว
จากที่ไม่เคยก้มเอามือแตะพื้นได้ ก็สามารถทำได้ จากที่ไม่เคยกางขา แล้วเอามือจับนิ้วโป้งที่เท้าได้ ก็สามารถทำได้ ผมเริ่มเห็นพัฒนาการของตัวเอง และรู้ว่าจุดอ่อนของตัวเองคือ ร่างกายส่วนบน เพราะว่าเป็นคนที่ไม่ชอบเข้ายิม และปีก่อนเลือกที่จะวิ่งแทน ทำให้ขาแข็งแรง แต่ส่วนบนทั้งแขนและแกนลำตัวนั้น ไม่มีความแข็งแรงอะไรเลย
4 เดือนที่เริ่มแบบจริงจัง พร้อมควบคุมอาหาร โดยการเลือกทานและไม่ทานเนื้อหมู จริงๆ ไม่ได้สนใจกับน้ำหนักตัวเองเท่าไร แต่พอแม่เริ่มทัก ก็เลยลองชั่งน้ำหนักดู โอ้วว จำได้ว่าลดมาเยอะมาก จาก 77 kg. เหลือ 74 kg. จนเหลือ 67 kg.ในตอนนี้รู้สึกดีมากๆ หัวโล่งในทุกๆ ครั้งที่จบคลาส
173 x 61 บนผืนเสื่อ … จบคลาสทุกครั้งด้วยท่า “ศวาสนะ” หรือท่าศพ เป็นท่าที่นอนนิ่งๆ ประมาณ 2-3 นาที ผ่อนคลายทุกอย่างรอบตัว ปิดทุกอย่าง ละทิ้งความคิดฟุ้งซ่านต่างๆ เพิ่มพลังจิตใจ คิดถึงแค่ลมหายใจเท่านั้น ก่อนจะคืนความรู้สึกทุกอย่างแล้วกลับมานั่งครับ
การที่เคยตั้งกำแพงกับการเล่นโยคะไว้ว่า แค่ยืดๆ เหยียดๆ บนเสื่อมันจะลดได้หรอ? เป็นกีฬาผู้หญิงหรือเปล่า (แต่บอกก่อนว่าสาวๆ ในคลาสนั้นแข็งแรงกว่าผมมาก) ในที่สุดก็ลบ “อคติ” พวกนั้นได้จนหมดจด จนกล้าที่จะแนะนำคนอื่นให้มาเล่นได้ เพราะที่เห็นได้ชัดเจนเลยคือ มีสมาธิขึ้น, ใจเย็นลง, หลับได้ลึก พร้อมตื่นมาคิดงานสร้างสรรค์ใหม่ๆ ในวันใหม่ได้ และการที่น้ำหนักลดลงนั้นเป็นของแถมจริงๆ
ขอบคุณประสบการณ์ใหม่ บนผืนเสื่อขนาดพอดีตัว 173 x 61cm. พื้นที่เล็กๆ ที่ดูดซับน้ำหนัก และความเหนื่อยล้าทางกาย และที่สำคัญคือ “ด้านจิตใจ” เข้าไป ตอนนี้ถ้าลองยกเสื่อตัวเองดู คงมีน้ำหนักพอควรเลยล่ะครับ หรือว่าจะได้เวลาเปลี่ยนเสื่อผืนใหม่แล้ว